วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
หน่วยที่19
หน่วยที่18
หน่วยที่18
หน่วยที่17
หน่วยที่17
หน่วยที16
หน่วยที16
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
หน่วยที่15
หน่วยที่15
หน่วยที่14
หน่วยที่14
หน่วยที่ 13
หน่วยที่13
หน่วยที่ 12
หน่วยที่12
หน่วยที่11
หน่วยที่11
หน่วยที่ 10
หน่วยที่10
หน่วยที่ 9
หน่วยที่9
หน่วยที่ 8
หน่วยที่8
หน่วยที่ 7
หน่วยที่7
วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
หน่วยที่ 6
หน่วยที่ 6
แหล่งอารยธรรมของโลกอยู่ที่เอเชีย
เมโสโปเตเมีย ( Mesopotamia) เป็นคำกรีกโบราณ ตามรูปศัพท์แปลว่า “ที่ระหว่างแม่น้ำ” โดยมีนัยหมายถึง “ดินแดนระหว่างแม่น้ำ แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส” เมโสโปเตเมีย (meso=กลาง,potamia=แม่น้ำ)ดินแดนดังกล่าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ “ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ซึ่งเป็นดินแดนรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ ที่ทอดโค้งขึ้นไปจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจรดอ่าวเปอร์เซีย
ชนชาติแรกอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำไทกริสเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อนคริสต์กาล บริเวณที่เข้ามาตอนแรกคือ แคว้นซูเมอร์ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของเมโสโปเตเมียติดกับอ่าวเปอร์เซีย มีลักษณะเป็นนครรัฐ แต่ละนครรัฐมีอิสระไม่ขึ้นต่อกัน เช่น ลากาซ บาบิโลน อูร์ อูรุค นิปเปอร์
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน ถือเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก วัฒนธรรมเก่าสุดเริ่ม
ดินแดนอินเดียโบราณทางศาสนามักเรียกว่าชมพูทวีป เป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมดินแดนอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศในปัจจุบัน ชื่ออินเดียมาจากภาษาสันกกฤตว่าสินธุ ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำสายสำคัญทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียโบราณ ชาวอินเดียเองเรียกดินแดนของเขาว่า ภารตวรรษ ซึ่งมีความหมายว่าดินที่อยู่ของชาวภารตะ คำว่าภารตะมาจากคำว่าภรตะ ซึ่งเป็นชื่อของ กษัตริย์
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นที่ราบลุ่ม ที่อุดมสมบูรณ์มี อารรธรรมอินเดียโบราณที่ปรากฏหลักฐานอยู่ คือ ที่เมืองฮารัมปาในแคว้นปัญจาบ และเมืองโบราณโมเฮนโจ ดาโร ในแคว้นซินค์ เมืองทั้งสองนี้มีลักษณะที่บอกให้รู้ถึงการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ มีการแบ่งเขตภายในเมืองออกเป็นสัดส่วน จัดที่ตั้งอาคารสำคัญไว้เป็นหมวดหมู่ มีถนนสายสำคัญๆ มีท่อระบายน้ำสร้างด้วยอิฐฝังลึกอยู่ในดิน มีสระน้ำใหญ่สร้างด้วยอิฐ และมีซากสิ่งก่อสร้างที่สันนิษฐานว่าเป็นยุ้งข้าวใหญ่โตหัวเสา สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ประเทศอินเดีย
อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ ถูกสร้างขึ้นโดยชาวดราวิเดียน (มิลักขะหรือ ทมิฬ) ชนพื้นเมืองเดิมของอินเดียผิวดำ ร่างเล็ก จมูกแบนพูดภาษาตระกูลดราวิเดียน (ทมิฬ ) มีการค้นพบหลักฐานเมื่อ คริสต์ศักราช 1856 เมื่อมีการก่อสร้างทางรถไฟบริเวณลุ่มน้ำสินธุ ค้นพบซากสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ คริสต์ศักราช 1920 ปรากฏเป็นรูปเมือง บริเวณเมือง ฮารัมปา(Harappa) และเมืองโมเฮนโจ ดาโร(Mohenjo Daro) อายุประมาณ 2500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลักฐานที่ค้นพบจัดเป็นอารยธรรมยุคโลหะเป็นสังคมเมือง ป้อมปราการขนาดใหญ่ มีสระอาบน้ำสาธารณะนักโบราณคดีสันนิฐานว่าอาจเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีการวางผังเมือง ตัดถนน มีกำแพงอิฐ บ้านเรือนสร้างด้วยอิฐ
มีระบบระบายน้ำสองท่อทำด้วยดินเผาอยู่ข้างถนน เพื่อรับน้ำที่ระบายจากบ้าน มีอักษรภาพใช้ พบโบราณวัตถุรูปแกะสลักหินชายมีเครา มีแถบผ้าคาด มีตราประทับตรงหน้าผาก รูปสำริดหญิงสาว รูปแกะสลัก บนหินเนื้ออ่อน เครื่องประดับ สร้อยทองคำ สร้อยลูกปัด มีการเพาะปลูกพืชเกษตรเช่นฝ้าย ข้าวสาลี ถั่ง งา ข้าวโพด พบหลักฐานการค้ากับต่างแดนทั้งทางบกและทางทะเล เช่น เปอร์เชีย อัฟกานิสถาน เมโสโปเตเมีย ธิเบต โดยพบโบราณวัตถุจากอินเดีย หินสี เงิน อัญมณีจากเปอร์เชีย หยกจากธิเบต และ มีการขุดค้นพบอารยธรรมนี้กว่า 100 แห่งบริเวณแม่น้ำสินธุ ส่วนใหญ่อยู่ในปากีสถาน
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห จีน อารยธรรมจีนในแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห
อารยธรรมจีนได้สร้างสมอยู่ในแผ่นดินแถบบริเวณนี้เป็นมาเวลาช้านาน และมีอิทธิพลที่สร้างกันมานั้นก็ได้มาจากความนึกคิดของเขาเป็นสิ่งสำคัญซึ่งย่อมหมายถึง วิถีการดำรงชีวิต ตลอดจนทัศนคติที่มีต่อโลก คนจีนจึงมุ่งที่จะสนใจในปรัชญาของชีวิตและนับถือนักปราชญ์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิต เช่น ขงจื๊อ เล่าจื๊อ เป็นต้น
อารยธรรมของจีนโบราณที่ศึกษา คือ จีนยุคหินใหม่ ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น ที่มณฑลโฮนาน และกัสสู ได้พบเครื่องมือหินและเครื่องปั้นดินเผา เช่นเครื่องปั้นดินเผายางเซา ซึ่งเชื่อว่ามีมาก่อน 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และที่มณฑลซานตุง ได้พบเครื่องปั้นดินเผาสีดำ ใกล้ตำบลลุงชาน จึงเรียกว่าเครื่องปั้นดินเผาลุงชาน
อารยธรรมของจีนก่อตัวขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำฮวงโห และลุ่มแม่น้ำซีเกียงหลังจากนั้นได้ขยายไปสู่ทะเล และภาคพื้นทวีปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีร่องรอยความเจริญให้ชาวโลกได้ศึกษาในด้านต่างๆ ดังนี้
1. ด้านการปกครอง จีนมีการปกครองที่เป็นปึกแผ่นมีผู้นำที่มีความสามารถ จีนเชื่อว่ากษัตริย์ที่มาปกครองจีนนั้นเป็นคำสั่งของสวรรค์ ดังนั้นกษัตริย์ คือ โอรสของสวรรค์ที่จะลงมาปกครองราษฎร์ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ากษัตริย์พระองค์ใดปกครองราษฎร์ให้ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน กษัตริย์พระองค์นั้นหรือราชวงศ์นั้นก็จะถูกลบล้างไป และมีกษัตริย์พระองค์ใหม่ระบบครอบครัวของจีนยึดความกตัญญูและนับถือผู้อาวุโสตามหลักคำสอนของ ขงจื๊อ
หลักคำสอนของขงจื๊อ ถือว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมที่สุดคือเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมแนวคำสอนที่เป็นพื้นฐานของภูมิปัญญาจีนที่เชื่อว่าปัญหาต่างๆในสังคมเกิดจากคนแต่ละคน การแก้ปัญหาทางหนึ่งคือการฝึกฝนตนเองการอบรมตนเอง และสามารถปกครองครอบครัวได้ เมื่อปกครองครอบครัวได้ ก็สามารถปกครองแค้วนได้ คุณธรรมประกอบด้วย หลัก 5 ประการ ความสุภาพ มีใจโอบอ้อมอารี จริงใจ ตั้งใจ เมตตากรุณา คุณธรรมที่สำคัญที่เป็นหัวใจของปรัชญาขงจื๊อ คือ เหริน เพราะคำนี้ประกอบด้วย อักขระสองตัวคือ “คน” กับ “สอง” หมายถึง มนุษยสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เหรินคือความรัก ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ เริ่มจากความรักในบิดา มารดา ความรักในความเป็นพี่น้องกัน
ผลงานของขงจื๊อรวบรวมไว้เรียก ตำรับ 5 เล่มของขงจื๊อประกอบด้วย
1) อี้จิง ตำรับว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง
2) ชูจิง ตำรับว่าด้วยประวัติศาสตร์
3) ซือจิง ว่าด้วยกาพย์กลอน
4) หลี่จิ้ง ว่าด้วยพิธีการ
5) ชุนชิว พงศาวดารฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง
2. ด้านศิลปวิทยาการต่าง ๆ แต่ละราชวงศ์จะมีศิลปะวิทยาการต่าง ๆ แตกต่างกันออกไปตามพื้นฐานของกษัตริย์ หลักฐานที่ปรากฏให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเช่น เครื่องปั้นดินเผาวัฒนธรรมยางเซา วัฒนธรรมลุงชาน และกำแพงเมืองจีน
อาณาจักรอิสลาม คาบสมุทรอาระเบีย อยู่ทางตะวันตกสุดของทวีปเอเชีย แหล่งชาวอาหรับนับถือเทพเจ้าหลายองค์
เกิดศาสนาอิสลามจึงหันมานับถือพระเจ้าองค์เดียวคืออัลเลาะห์เป็นปึกแผ่นคาบสมุทรอาระเบีย
อาณาจักรบิแซนตีน หรืออาณาจักรตะวันออก มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงสแตนติโนเปิล( เมืองท่าปากทางเข้าทะเลดำซึ่งก็ตั้งตามชื่อของเขาเอง ซึ่งเดิมชื่อ ไบแซนทิอุม หรือ ไปแซนไทม์ —Byzantium–)
มีจักรพรรดิ์สำคัญคือ จัสติเนียน ผู้มีความสามารถทางการเมือง การปกครองและการทหาร และจัดทำประมวลกฎหมายจัสติเนียน ซึ่งเป็นแม่บทของกฎหมายต่างๆ ในทวีปยุโรป มรดกความเจริญทางวัฒนธรรม คือ สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม วิทยาการ แบบบิแซนตีน
เมโสโปเตเมีย ( Mesopotamia) เป็นคำกรีกโบราณ ตามรูปศัพท์แปลว่า “ที่ระหว่างแม่น้ำ” โดยมีนัยหมายถึง “ดินแดนระหว่างแม่น้ำ แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส” เมโสโปเตเมีย (meso=กลาง,potamia=แม่น้ำ)ดินแดนดังกล่าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ “ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ซึ่งเป็นดินแดนรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ ที่ทอดโค้งขึ้นไปจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจรดอ่าวเปอร์เซีย
ชนชาติแรกอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำไทกริสเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อนคริสต์กาล บริเวณที่เข้ามาตอนแรกคือ แคว้นซูเมอร์ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของเมโสโปเตเมียติดกับอ่าวเปอร์เซีย มีลักษณะเป็นนครรัฐ แต่ละนครรัฐมีอิสระไม่ขึ้นต่อกัน เช่น ลากาซ บาบิโลน อูร์ อูรุค นิปเปอร์
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน ถือเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก วัฒนธรรมเก่าสุดเริ่ม
ดินแดนอินเดียโบราณทางศาสนามักเรียกว่าชมพูทวีป เป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมดินแดนอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศในปัจจุบัน ชื่ออินเดียมาจากภาษาสันกกฤตว่าสินธุ ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำสายสำคัญทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียโบราณ ชาวอินเดียเองเรียกดินแดนของเขาว่า ภารตวรรษ ซึ่งมีความหมายว่าดินที่อยู่ของชาวภารตะ คำว่าภารตะมาจากคำว่าภรตะ ซึ่งเป็นชื่อของ กษัตริย์
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นที่ราบลุ่ม ที่อุดมสมบูรณ์มี อารรธรรมอินเดียโบราณที่ปรากฏหลักฐานอยู่ คือ ที่เมืองฮารัมปาในแคว้นปัญจาบ และเมืองโบราณโมเฮนโจ ดาโร ในแคว้นซินค์ เมืองทั้งสองนี้มีลักษณะที่บอกให้รู้ถึงการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ มีการแบ่งเขตภายในเมืองออกเป็นสัดส่วน จัดที่ตั้งอาคารสำคัญไว้เป็นหมวดหมู่ มีถนนสายสำคัญๆ มีท่อระบายน้ำสร้างด้วยอิฐฝังลึกอยู่ในดิน มีสระน้ำใหญ่สร้างด้วยอิฐ และมีซากสิ่งก่อสร้างที่สันนิษฐานว่าเป็นยุ้งข้าวใหญ่โตหัวเสา สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ประเทศอินเดีย
อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ ถูกสร้างขึ้นโดยชาวดราวิเดียน (มิลักขะหรือ ทมิฬ) ชนพื้นเมืองเดิมของอินเดียผิวดำ ร่างเล็ก จมูกแบนพูดภาษาตระกูลดราวิเดียน (ทมิฬ ) มีการค้นพบหลักฐานเมื่อ คริสต์ศักราช 1856 เมื่อมีการก่อสร้างทางรถไฟบริเวณลุ่มน้ำสินธุ ค้นพบซากสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ คริสต์ศักราช 1920 ปรากฏเป็นรูปเมือง บริเวณเมือง ฮารัมปา(Harappa) และเมืองโมเฮนโจ ดาโร(Mohenjo Daro) อายุประมาณ 2500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลักฐานที่ค้นพบจัดเป็นอารยธรรมยุคโลหะเป็นสังคมเมือง ป้อมปราการขนาดใหญ่ มีสระอาบน้ำสาธารณะนักโบราณคดีสันนิฐานว่าอาจเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีการวางผังเมือง ตัดถนน มีกำแพงอิฐ บ้านเรือนสร้างด้วยอิฐ
มีระบบระบายน้ำสองท่อทำด้วยดินเผาอยู่ข้างถนน เพื่อรับน้ำที่ระบายจากบ้าน มีอักษรภาพใช้ พบโบราณวัตถุรูปแกะสลักหินชายมีเครา มีแถบผ้าคาด มีตราประทับตรงหน้าผาก รูปสำริดหญิงสาว รูปแกะสลัก บนหินเนื้ออ่อน เครื่องประดับ สร้อยทองคำ สร้อยลูกปัด มีการเพาะปลูกพืชเกษตรเช่นฝ้าย ข้าวสาลี ถั่ง งา ข้าวโพด พบหลักฐานการค้ากับต่างแดนทั้งทางบกและทางทะเล เช่น เปอร์เชีย อัฟกานิสถาน เมโสโปเตเมีย ธิเบต โดยพบโบราณวัตถุจากอินเดีย หินสี เงิน อัญมณีจากเปอร์เชีย หยกจากธิเบต และ มีการขุดค้นพบอารยธรรมนี้กว่า 100 แห่งบริเวณแม่น้ำสินธุ ส่วนใหญ่อยู่ในปากีสถาน
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห จีน อารยธรรมจีนในแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห
อารยธรรมจีนได้สร้างสมอยู่ในแผ่นดินแถบบริเวณนี้เป็นมาเวลาช้านาน และมีอิทธิพลที่สร้างกันมานั้นก็ได้มาจากความนึกคิดของเขาเป็นสิ่งสำคัญซึ่งย่อมหมายถึง วิถีการดำรงชีวิต ตลอดจนทัศนคติที่มีต่อโลก คนจีนจึงมุ่งที่จะสนใจในปรัชญาของชีวิตและนับถือนักปราชญ์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิต เช่น ขงจื๊อ เล่าจื๊อ เป็นต้น
อารยธรรมของจีนโบราณที่ศึกษา คือ จีนยุคหินใหม่ ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น ที่มณฑลโฮนาน และกัสสู ได้พบเครื่องมือหินและเครื่องปั้นดินเผา เช่นเครื่องปั้นดินเผายางเซา ซึ่งเชื่อว่ามีมาก่อน 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และที่มณฑลซานตุง ได้พบเครื่องปั้นดินเผาสีดำ ใกล้ตำบลลุงชาน จึงเรียกว่าเครื่องปั้นดินเผาลุงชาน
อารยธรรมของจีนก่อตัวขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำฮวงโห และลุ่มแม่น้ำซีเกียงหลังจากนั้นได้ขยายไปสู่ทะเล และภาคพื้นทวีปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีร่องรอยความเจริญให้ชาวโลกได้ศึกษาในด้านต่างๆ ดังนี้
1. ด้านการปกครอง จีนมีการปกครองที่เป็นปึกแผ่นมีผู้นำที่มีความสามารถ จีนเชื่อว่ากษัตริย์ที่มาปกครองจีนนั้นเป็นคำสั่งของสวรรค์ ดังนั้นกษัตริย์ คือ โอรสของสวรรค์ที่จะลงมาปกครองราษฎร์ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ากษัตริย์พระองค์ใดปกครองราษฎร์ให้ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน กษัตริย์พระองค์นั้นหรือราชวงศ์นั้นก็จะถูกลบล้างไป และมีกษัตริย์พระองค์ใหม่ระบบครอบครัวของจีนยึดความกตัญญูและนับถือผู้อาวุโสตามหลักคำสอนของ ขงจื๊อ
หลักคำสอนของขงจื๊อ ถือว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมที่สุดคือเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมแนวคำสอนที่เป็นพื้นฐานของภูมิปัญญาจีนที่เชื่อว่าปัญหาต่างๆในสังคมเกิดจากคนแต่ละคน การแก้ปัญหาทางหนึ่งคือการฝึกฝนตนเองการอบรมตนเอง และสามารถปกครองครอบครัวได้ เมื่อปกครองครอบครัวได้ ก็สามารถปกครองแค้วนได้ คุณธรรมประกอบด้วย หลัก 5 ประการ ความสุภาพ มีใจโอบอ้อมอารี จริงใจ ตั้งใจ เมตตากรุณา คุณธรรมที่สำคัญที่เป็นหัวใจของปรัชญาขงจื๊อ คือ เหริน เพราะคำนี้ประกอบด้วย อักขระสองตัวคือ “คน” กับ “สอง” หมายถึง มนุษยสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เหรินคือความรัก ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ เริ่มจากความรักในบิดา มารดา ความรักในความเป็นพี่น้องกัน
ผลงานของขงจื๊อรวบรวมไว้เรียก ตำรับ 5 เล่มของขงจื๊อประกอบด้วย
1) อี้จิง ตำรับว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง
2) ชูจิง ตำรับว่าด้วยประวัติศาสตร์
3) ซือจิง ว่าด้วยกาพย์กลอน
4) หลี่จิ้ง ว่าด้วยพิธีการ
5) ชุนชิว พงศาวดารฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง
2. ด้านศิลปวิทยาการต่าง ๆ แต่ละราชวงศ์จะมีศิลปะวิทยาการต่าง ๆ แตกต่างกันออกไปตามพื้นฐานของกษัตริย์ หลักฐานที่ปรากฏให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเช่น เครื่องปั้นดินเผาวัฒนธรรมยางเซา วัฒนธรรมลุงชาน และกำแพงเมืองจีน
อาณาจักรอิสลาม คาบสมุทรอาระเบีย อยู่ทางตะวันตกสุดของทวีปเอเชีย แหล่งชาวอาหรับนับถือเทพเจ้าหลายองค์
เกิดศาสนาอิสลามจึงหันมานับถือพระเจ้าองค์เดียวคืออัลเลาะห์เป็นปึกแผ่นคาบสมุทรอาระเบีย
อาณาจักรบิแซนตีน หรืออาณาจักรตะวันออก มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงสแตนติโนเปิล( เมืองท่าปากทางเข้าทะเลดำซึ่งก็ตั้งตามชื่อของเขาเอง ซึ่งเดิมชื่อ ไบแซนทิอุม หรือ ไปแซนไทม์ —Byzantium–)
มีจักรพรรดิ์สำคัญคือ จัสติเนียน ผู้มีความสามารถทางการเมือง การปกครองและการทหาร และจัดทำประมวลกฎหมายจัสติเนียน ซึ่งเป็นแม่บทของกฎหมายต่างๆ ในทวีปยุโรป มรดกความเจริญทางวัฒนธรรม คือ สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม วิทยาการ แบบบิแซนตีน
หน่วยที่ 5
หน่วยที่ 5
ที่ตั้งเเละสภาพภูมิศาสตร์ที่มีผลต่อพัฒนาการของทวีปเอเชีย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า วิธีการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวิชาใดนั้น ครูจะต้องสร้างสมรรถนะสำคัญ 4 ประการให้กับนักเรียน เพื่อใช้ในการศึกษาเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. รู้ภาษาดิจิตอล
2. รู้คิดประดิษฐ์สร้าง
3. สื่อสารมีประสิทธิภาพ
4. สื่อสารมีประสิทธิผล
ซึ่งสมรรถนะทั้งสี่ประการจะนำไปสู่สมรรถนะสำคัญ 5 ประการ คือ
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
“โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ไม่ได้สอนการศึกษา แต่สอนวิธีการศึกษา” นั่นก็หมายความว่า บทบาทและหน้าที่ของโรงเรียนคือ สอนวิธีการหาความรู้ การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปให้ถึงคำว่า “ปัญญา” ซึ่งผู้เรียนเป็นรอบรู้ที่ถูกต้องและเป็นไปตามความจริง ผ่านกระบวนการในการเรียนรู้ ที่ต้องประยุกต์ปรับเปลี่ยนวิธีการ นำไปสู่เป้าหมายของการเรียนรู้ อย่างถูกต้อง นั่นคือ ผู้เรียนเป็นคนดี ผู้เรียนเป็นคนเก่ง ผู้เรียนเป็นมีความสุข และมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ผู้เขียนในฐานะ ครู ทำหน้าที่แนะนำวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน สามารถนำไปประยุกต์ พัฒนาใช้ความรู้ให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ในการเรียน การดำเนินชีวิตของผู้เรียน อย่างมั่นคง มีความสุขในสังคม จึงสร้างโมเดลแนวคิดกระบวนการเรียนการสอน เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามมาตรฐานของหลักสูตรที่กำหนดไว้
การพัฒนาการเรียนรู้ในปัจจุบัน จะต้องให้ผู้เรียนมีสมรรถนะสำคัญในกระบวนการวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญๆ ได้แก่
สมรรถนะที่ 1 ผู้เรียนรู้ภาษาดิจิตอล คำว่าภาษาดิจิตอล ก็คือภาษาที่สามารถสื่อสารสั่งงาน ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้รู้เรื่อง เช่นมีความสามารถเปิดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ปิดเปิดใช้โปรแกรมทำงานต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและหลากหลาย ยิ่งใช้ได้มากก็แสดงให้เห็นความรู้ความสามารถด้านภาษาดิจิตอล นั่นเอง
สมรรถนะที่ 2 ผู้เรียนรู้คิดประดิษฐ์สร้าง หมายความว่า ผู้เรียนสามารถนำเอาองค์ความรู้และองค์ปัญญาจากสมรรถนะที่ 1 นำมาประยุกต์ใช้ จัดทำเครื่องมือเพื่อการสื่อสารเรียนรู้ การต่อยอดองค์ความรู้ให้หลากหลาย เช่นนำความรู้จากสมรรถนะที่ 1 รู้ภาษาดิจิตอล มาสร้างเว็บ สร้างบล็อก สร้างกลุ่มการเรียนรู้ผ่านโครงข่ายการสื่อสารบนระบบอินเตอร์เน็ตได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ
สมรรถนะที่ 3 ผู้เรียนสามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงผู้เรียนสมารถนำสมรรถนะที่ 1 สมรรถนะที่ 2 นำมาประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เผยแพร่ แบ่งบัน แลกเปลี่ยนความรู้ ได้อย่างกว้างขวางบนโลกไอที อย่างไม่มีขีดจำกัด บนพื้นฐานของหลักความรู้ หลักจรรยาบรรณที่ดี
สมรรถนะที่ 4 ผู้เรียนสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิผล หมายถึง การนำสมรรถนะที่ 1 สมรรถนะที่ 2 และสมรรถนะที่ 3 นำองค์ความรู้ต่างๆ มาเผยแพร่ แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น จากผู้อ่านผู้สนใจ แล้วนำมาวิเคราะห์สังเคราะห์ จนตกผลึกทางความคิด ทางปัญญา นำมาเขียนเป็นบทความในทัศนะของตน เพื่อพัฒนาและต่อยอดและประยุกต์องค์ความรู้ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
โลกหมุนไม่เคยหยุด เป็นความจริงที่ไม่สามารถปฎิเสธได้ เด็กๆ ยุคใหม่เกิดพร้อมๆกับคอมพิวเตอร์ ยอมรับว่าการนำไอทีมาเป็นสื่อการสอนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับคุณครูรุ่นเก่า แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ อยู่ที่ความพยายาม โดยเฉพาะในฐานะที่ต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาศิษย์ จะหยุดนิ่งไม่ได้
ผู้เขียนตัดสินใจค้นคว้าศึกษา และพิจารณาตัดสินใจนำเทคโนโลยี สังคมออนไลน์ โซเชี่ยลมีเดีย ที่มีความง่าย เหมาะสม และฟรีที่เขาใช้กัน ไม่ว่าจะเป็น Facebook Tawitter Skype Sites google Blogger ฯลฯ และตัดสินใจนำเอามาประยุต์ใช้กับผู้เรียนในรายวิชาโลกศึกษา วิชาภูมิศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ วิชาประวัติศาสตร์ ที่ผู้เขียนรับผิดชอบในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ปรับวิธีการเรียน เปลี่ยนวิธีการสอนอย่างช้าๆ เพราะปัจจัยแวดล้อม เช่นไม่มีห้องเรียนที่มีสื่อการเรียน ที่เพียงพอและเหมาะสม เด็กมีความแตกต่าง บางคนมีคอมพิวเตอร์ บางคนไม่มี ก็ค่อยหาข้อมูล ระหว่างที่ปรับเปลี่ยน ก็ค้นหาข้อมูลผลิตผลงานด้วยการเขียนบล็อก พัฒนาเนื้อหา แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้กับครูด้วยกัน การทำงานเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำอย่างเป็นขั้นตอน สร้างความรู้ ให้เกิดความเข้าใจ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้
ทั้งนี้การเรียนการสอน ที่ใช้วิธีให้ผู้เรียน ไปค้นเนื้อหาสาระความรู้ในห้องสมุด แล้วนำมาเขียนรายงาน ลงในกระดาษ และนำมานำเสนอหน้าห้องเรียนให้เพื่อนๆ รับฟัง ก็ปรับเปลี่ยนให้ค้นหาข้อมูลด้วยโปรแกรม Google ซึ่งเป็นห้องสมุดแหล่งเรียนรู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อได้ข้อมูลก็นำเสนอขึ้นบนเครือข่าย ในเว็บต์ที่สร้างขึ้นเอง เพื่อเผยแพร่และแชร์ ให้ผู้สนใจเข้าไปอ่านและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาสาระในบทความ ที่จัดทำ ทั้งใน Facebook Web site Blogger ที่ตนเองสร้างขึ้นมา ผู้เรียนนำความคิดเห็นที่มีผู้แสดงนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ โดยอาศัยหลักการคิดวิเคราะห์ ( 5 W 1 H ) คือ
1. What = อะไร
2. When = เมื่อไหร่
3. Where = ที่ไหน
4. Why = ทำไม
5. Who = ใคร
6. How = อย่างไร
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า วิธีการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวิชาใดนั้น ครูจะต้องสร้างสมรรถนะสำคัญ 4 ประการให้กับนักเรียน เพื่อใช้ในการศึกษาเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. รู้ภาษาดิจิตอล
2. รู้คิดประดิษฐ์สร้าง
3. สื่อสารมีประสิทธิภาพ
4. สื่อสารมีประสิทธิผล
ซึ่งสมรรถนะทั้งสี่ประการจะนำไปสู่สมรรถนะสำคัญ 5 ประการ คือ
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
“โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ไม่ได้สอนการศึกษา แต่สอนวิธีการศึกษา” นั่นก็หมายความว่า บทบาทและหน้าที่ของโรงเรียนคือ สอนวิธีการหาความรู้ การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปให้ถึงคำว่า “ปัญญา” ซึ่งผู้เรียนเป็นรอบรู้ที่ถูกต้องและเป็นไปตามความจริง ผ่านกระบวนการในการเรียนรู้ ที่ต้องประยุกต์ปรับเปลี่ยนวิธีการ นำไปสู่เป้าหมายของการเรียนรู้ อย่างถูกต้อง นั่นคือ ผู้เรียนเป็นคนดี ผู้เรียนเป็นคนเก่ง ผู้เรียนเป็นมีความสุข และมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ผู้เขียนในฐานะ ครู ทำหน้าที่แนะนำวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน สามารถนำไปประยุกต์ พัฒนาใช้ความรู้ให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ในการเรียน การดำเนินชีวิตของผู้เรียน อย่างมั่นคง มีความสุขในสังคม จึงสร้างโมเดลแนวคิดกระบวนการเรียนการสอน เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามมาตรฐานของหลักสูตรที่กำหนดไว้
การพัฒนาการเรียนรู้ในปัจจุบัน จะต้องให้ผู้เรียนมีสมรรถนะสำคัญในกระบวนการวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญๆ ได้แก่
สมรรถนะที่ 1 ผู้เรียนรู้ภาษาดิจิตอล คำว่าภาษาดิจิตอล ก็คือภาษาที่สามารถสื่อสารสั่งงาน ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้รู้เรื่อง เช่นมีความสามารถเปิดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ปิดเปิดใช้โปรแกรมทำงานต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและหลากหลาย ยิ่งใช้ได้มากก็แสดงให้เห็นความรู้ความสามารถด้านภาษาดิจิตอล นั่นเอง
สมรรถนะที่ 2 ผู้เรียนรู้คิดประดิษฐ์สร้าง หมายความว่า ผู้เรียนสามารถนำเอาองค์ความรู้และองค์ปัญญาจากสมรรถนะที่ 1 นำมาประยุกต์ใช้ จัดทำเครื่องมือเพื่อการสื่อสารเรียนรู้ การต่อยอดองค์ความรู้ให้หลากหลาย เช่นนำความรู้จากสมรรถนะที่ 1 รู้ภาษาดิจิตอล มาสร้างเว็บ สร้างบล็อก สร้างกลุ่มการเรียนรู้ผ่านโครงข่ายการสื่อสารบนระบบอินเตอร์เน็ตได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ
สมรรถนะที่ 3 ผู้เรียนสามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงผู้เรียนสมารถนำสมรรถนะที่ 1 สมรรถนะที่ 2 นำมาประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เผยแพร่ แบ่งบัน แลกเปลี่ยนความรู้ ได้อย่างกว้างขวางบนโลกไอที อย่างไม่มีขีดจำกัด บนพื้นฐานของหลักความรู้ หลักจรรยาบรรณที่ดี
สมรรถนะที่ 4 ผู้เรียนสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิผล หมายถึง การนำสมรรถนะที่ 1 สมรรถนะที่ 2 และสมรรถนะที่ 3 นำองค์ความรู้ต่างๆ มาเผยแพร่ แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น จากผู้อ่านผู้สนใจ แล้วนำมาวิเคราะห์สังเคราะห์ จนตกผลึกทางความคิด ทางปัญญา นำมาเขียนเป็นบทความในทัศนะของตน เพื่อพัฒนาและต่อยอดและประยุกต์องค์ความรู้ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
โลกหมุนไม่เคยหยุด เป็นความจริงที่ไม่สามารถปฎิเสธได้ เด็กๆ ยุคใหม่เกิดพร้อมๆกับคอมพิวเตอร์ ยอมรับว่าการนำไอทีมาเป็นสื่อการสอนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับคุณครูรุ่นเก่า แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ อยู่ที่ความพยายาม โดยเฉพาะในฐานะที่ต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาศิษย์ จะหยุดนิ่งไม่ได้
ผู้เขียนตัดสินใจค้นคว้าศึกษา และพิจารณาตัดสินใจนำเทคโนโลยี สังคมออนไลน์ โซเชี่ยลมีเดีย ที่มีความง่าย เหมาะสม และฟรีที่เขาใช้กัน ไม่ว่าจะเป็น Facebook Tawitter Skype Sites google Blogger ฯลฯ และตัดสินใจนำเอามาประยุต์ใช้กับผู้เรียนในรายวิชาโลกศึกษา วิชาภูมิศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ วิชาประวัติศาสตร์ ที่ผู้เขียนรับผิดชอบในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ปรับวิธีการเรียน เปลี่ยนวิธีการสอนอย่างช้าๆ เพราะปัจจัยแวดล้อม เช่นไม่มีห้องเรียนที่มีสื่อการเรียน ที่เพียงพอและเหมาะสม เด็กมีความแตกต่าง บางคนมีคอมพิวเตอร์ บางคนไม่มี ก็ค่อยหาข้อมูล ระหว่างที่ปรับเปลี่ยน ก็ค้นหาข้อมูลผลิตผลงานด้วยการเขียนบล็อก พัฒนาเนื้อหา แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้กับครูด้วยกัน การทำงานเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำอย่างเป็นขั้นตอน สร้างความรู้ ให้เกิดความเข้าใจ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้
ทั้งนี้การเรียนการสอน ที่ใช้วิธีให้ผู้เรียน ไปค้นเนื้อหาสาระความรู้ในห้องสมุด แล้วนำมาเขียนรายงาน ลงในกระดาษ และนำมานำเสนอหน้าห้องเรียนให้เพื่อนๆ รับฟัง ก็ปรับเปลี่ยนให้ค้นหาข้อมูลด้วยโปรแกรม Google ซึ่งเป็นห้องสมุดแหล่งเรียนรู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อได้ข้อมูลก็นำเสนอขึ้นบนเครือข่าย ในเว็บต์ที่สร้างขึ้นเอง เพื่อเผยแพร่และแชร์ ให้ผู้สนใจเข้าไปอ่านและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาสาระในบทความ ที่จัดทำ ทั้งใน Facebook Web site Blogger ที่ตนเองสร้างขึ้นมา ผู้เรียนนำความคิดเห็นที่มีผู้แสดงนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ โดยอาศัยหลักการคิดวิเคราะห์ ( 5 W 1 H ) คือ
1. What = อะไร
2. When = เมื่อไหร่
3. Where = ที่ไหน
4. Why = ทำไม
5. Who = ใคร
6. How = อย่างไร
หน่วยที่ 4
หน่วยที่ 4
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเดิมว่า "ฉิม" ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรในคราวที่สมเด็จพระราชบิดาทรงสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรในคราวที่สมเด็จพระราชบิดาทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. 2325
พระราชกรณียกิจสำคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ด้านการเมืองการปกครอง
1.1) ทรงตรากฎหมายห้ามสูบซื้อขายฝิ่นใน พ.ศ. 2354 และ พ.ศ. 2362 โดยกำหนดบทลงโทษแก่ผู้สูบฝิ่นไว้อย่างหนัก
1.2) ทรงปรับปรุงกฎหมายพระราชกำหนดสักเลกเมื่อ พ.ศ. 2353 เพื่อเรียกเกณฑ์ไพร่พลเข้ารับราชการ โดยลดเวลาให้ไพร่มารับราชการเพียง 3 เดือน ทำให้ไพร่มีเวลาทำมาหากินส่วนตัวมากขึ้น
2. ด้านสังคมและวัฒนธรรม
2.1) โปรดเกล้า ฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งด้วยการสถาปนาโบสถ์และวิหารใหม่ เสริมพระปรางค์องค์เดิมให้ใหญ่ขึ้น และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม" ทรงให้แปลบทสวดมนต์จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจคำสอนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
2.2) ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่เมื่อ พ.ศ. 2360 ตามที่เคยปฏิบัติกันมาในสมัยสุโขทัย
3. ด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม
3.1) ทรงปรับปรุงท่ารำต่าง ๆ ทั้งโขนและละคร ซึ่งกลายเป็นต้นแบบมาถึงปัจจุบัน ทรงประพันธ์เพลง "บุหลันลอยเลื่อน" หรือ "บุหลันลอยฟ้า"
3.2) ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมมากมาย เช่น ขุนช้าง ขุนแผน คาวี สังข์ทอง ไกรทอง อิเหนา
3.3) ทรงแกะสลักบานประตูวิหารพระศรีศากยมุนี ที่วัดสุทัศนเทพวราราม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเดิมว่า "ฉิม" ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรในคราวที่สมเด็จพระราชบิดาทรงสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรในคราวที่สมเด็จพระราชบิดาทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. 2325
พระราชกรณียกิจสำคัญที่มีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทยสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ด้านการเมืองการปกครอง
1.1) ทรงตรากฎหมายห้ามสูบซื้อขายฝิ่นใน พ.ศ. 2354 และ พ.ศ. 2362 โดยกำหนดบทลงโทษแก่ผู้สูบฝิ่นไว้อย่างหนัก
1.2) ทรงปรับปรุงกฎหมายพระราชกำหนดสักเลกเมื่อ พ.ศ. 2353 เพื่อเรียกเกณฑ์ไพร่พลเข้ารับราชการ โดยลดเวลาให้ไพร่มารับราชการเพียง 3 เดือน ทำให้ไพร่มีเวลาทำมาหากินส่วนตัวมากขึ้น
2. ด้านสังคมและวัฒนธรรม
2.1) โปรดเกล้า ฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งด้วยการสถาปนาโบสถ์และวิหารใหม่ เสริมพระปรางค์องค์เดิมให้ใหญ่ขึ้น และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม" ทรงให้แปลบทสวดมนต์จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจคำสอนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
2.2) ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่เมื่อ พ.ศ. 2360 ตามที่เคยปฏิบัติกันมาในสมัยสุโขทัย
3. ด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม
3.1) ทรงปรับปรุงท่ารำต่าง ๆ ทั้งโขนและละคร ซึ่งกลายเป็นต้นแบบมาถึงปัจจุบัน ทรงประพันธ์เพลง "บุหลันลอยเลื่อน" หรือ "บุหลันลอยฟ้า"
3.2) ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมมากมาย เช่น ขุนช้าง ขุนแผน คาวี สังข์ทอง ไกรทอง อิเหนา
3.3) ทรงแกะสลักบานประตูวิหารพระศรีศากยมุนี ที่วัดสุทัศนเทพวราราม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
หน่วยที่ 3
หน่วยที่ 3
พัฒนาการสมัยกรุงธนบุรี
การล่มสลายของอาณาจักรอยุธยา
กรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาจักรของคนไทยเป็นระยะเวลายาวนาน 417 ปี (พ.ศ.1893-2310) พระมหากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา คือ พระเจ้าอู่ทอง หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 อาณาเขตของกรุงศรีอยุธยาแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางมากที่สุด ในรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133-2148)อาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การค้าขายและการเจริญไมตรีกับต่างประเทศ ในรัชสมัยของพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.2199-2231) ความเสื่อมของอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่า 2 ครั้ง ครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราชเมื่อพ.ศ.2112 และครั้งที่ 2 ในรัชสมัย สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) เมื่อ พ.ศ.2310 สาเหตุการเสื่อมอำนาจของกรุงศรีอยุธยา * ความเสื่อมอำนาจทางการเมือง มีการแก่งแย่งชิงอำนาจใหม่ในหมู่ขุนนางข้าราชการและพระบรมวงศานุวงศ์อยู่เนืองๆ มีการกำจัดศัตรูทางการเมือง ทำให้กำลังทหารถูกบั่นทอนความเข็มแข็งลงไปมาก * ความอ่อนแอของพระมหากษัตริย์ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงขาดความสามารถในด้านการเป็นผู้นำ กองทหารไม่ได้รับการฝึกฝนให้เตรียมพร้อมในการทำศึกสงคราม และมีปัญหาวินัยหย่อนยาน * การที่ไทยว่างเว้นจากสงครามมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความประมาทในการป้องกันพระราชอาณาจักร ขาดการฝึกปรือกำลังทัพและการวางแผนการยุทธที่ดี ทำให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพในการทำสงครามป้องกันพระนคร เมื่อพม่ายกกำลังมาล้อมกรุงศรีอยุธยาก่อนจะเสียกรุงใน พ.ศ.2310 * พม่าเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ไปจากเดิม คือ ยกทัพกวาดต้อนผู้คน สะสมเสบียงอาหารลงมาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือและขึ้นมาจากหัวเมืองฝ่ายใต้ ตัดขาดหัวเมืองรอบนอกมิให้ติดต่อและช่วยเหลือเขตราชธานีได้ และพร้อมที่จะรบตลอดทั้งปี โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นฤดูฝนหรือฤดูน้ำหลาก ซึ่งแผนยุทธศาสตร์นี้ต่างไปจากเดิมที่มักจะยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์และ เข้ามาทางเดียว และเมื่อถึงฤดูน้ำเหนือหลากลงมาท่วมก็ยกทัพกลับ ทำให้ไทยวางแผนการตั้งรับผิดพลาดหมด * กรุงศรีอยุธยาถูกปิดล้อมทางเศรษฐกิจโดยกองทัพพม่า ทั้งจากทางเหนือและใต้ รวมทั้งต้องทำศึกระยะยาวนานนับปี ทำให้กรุงศรีอยุธยาเกิดขาดแคลนเสบียงอาหารอันนำไปสู่ความอ่อนแอต่อกำลังทัพ และผู้คนของไทย ในขณะที่ไทยกับพม่ากำลังทำสงครามอยู่นั้น พระยาตากเกิดความท้อใจในการรบ เพราะขาดความคล่องตัวในการตัดสินใจ และสถานการณ์รบที่อยุธยาอยู่ในวิกฤตอย่างหนัก ถ้าหนีไปตั้งหนักที่อื่นก็อาจมีโอกาสกลับมากอบกู้สถานการณ์ได้ ดังนั้นพระยาตากจึงรวบรวมกำลังพลได้ประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าไปเส้นทางตะวันออก สาเหตุที่พระยาตากเลือกเส้นทางตะวันออก * เส้นทางดังกล่าวปลอดจากการคุกคามของพม่า ทำให้ง่ายต่อการสะสมและรวบรวมทั้งผู้คน , อาวุธและเสบียงอาหาร * สามารถค้าขายบริเวณหัวเมืองชายทะเลทั้งด้านอาหาร อาวุธ กับพ่อค้าชาวจีนได้ การทำสงครามขับไล่พม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา หลังจากที่พระยาตากได้ตั้งตนเป็นใหญ่ที่ระยองและจันทบุรี และสะสมเสบียงอาหาร อาวุธ ผู้คนได้มากแล้ว จึงตัดสินใจยกทัพเรือจากจันทบุรีสู่อยุธยาเพื่อกอบกู้เอกราช โดยยกกองทัพเรือเข้ามาถึงสมุทรปราการ แล้ว พระยาตากนำกำลังกองทัพเรือเข้ายึดเมืองธนบุรี เมืองหน้าด่านที่พม่าให้นายทองอิน คนไทยรักษาอยู่ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2310 ซึ่งได้รับชัยชนะโดยง่ายแล้ว พระยาตากก็ยกทัพตามโจมตีกองทัพพม่าไปจนถึงค่ายโพธิ์สามต้น ที่สุกี้พระนายกองของพม่ารักษาการณ์อยู่ และสามารถตีค่ายของพม่าแตก พร้อมทั้งขับไล่ทหารพม่าออกจากอยุธยาและยึดกรุงศรีอยุธยา คืนได้ภายในเดือนเดียวกัน รวมเวลาในการกอบกู้เอกราชเพียง 7 เดือน พระยาตากปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ เมื่อขับไล่พม่าออกไปจากกรุงศรีอยุธยาและกอบกู้เอกราชให้แก่คนไทยแล้ว พระยาตากได้เลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานี และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยไม่ทรงเลือกกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีหรือเมืองหลวง เหตุผลที่ไม่เลือกกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี * ความเสียหายย่อยยับจากสงคราม ยากแก่การบูรณะปฏิสังขรณ์ * มีอาณาเขตกว้างใหญ่เกินกำลังไพร่พลของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่จะรักษา * ข้าศึกรู้เส้นทางเดินทัพ รู้สภาพภูมิประเทศของกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดี * ทำเลที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากทะเลมากเกินไป ไม่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ |
หน่วยที่ 2
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศา สตร์
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดป ระสงค์ชัดเจนว่าจะศึกษาอะไร อดีตส่วนไหน สมัยอะไร และเพราะเหตุใด เป็นการตั้งคำถามที่ต้องการ ศึกษา นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยก ารอ่าน การสังเกต และควรต้องมีความรู้กว้างๆ ทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนั ้นๆมาก่อนบ้าง ซึ่งคำถามหลักที่นักประวัติ ศาสตร์ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลา ก็คือทำไมและเกิดขึ้นอย่างไ ร
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ ให้ข้อมูล มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลัก ษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลัก ษณ์อักษร มีทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้ น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูม ิ)
การรวบรวมข้อมูลนั้น หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือมากกว่าห ลักฐานชั้นรอง แต่หลักฐานชั้นรองอธิบายเรื ่องราวให้เข้าใจได้ง่ายกว่า หลักฐานชั้นต้น
ในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่า งๆดังกล่าวข้างต้น ควรเริ่มต้นจากหลักฐานชั้นร องแล้วจึงศึกษาหลักฐานชั้นต ้น ถ้าเป็นหลักฐานประเภทไม่เป็ นลายลักษณ์อักษรก็ควรเริ่มต ้นจากผลการศึกษาของนักวิชาก ารที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ก่อนไปศึกษาจากของจริงหรือส ถานที่จริง
การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดี ควรใช้ข้อมูลหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ศึกษาต้อง การศึกษาเรื่องอะไร ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลที่ด ีจะต้องจดบันทึกรายละเอียดต ่างๆ ทั้งข้อมูลและแหล่งข้อมูลให ้สมบูรณ์และถูกต้อง เพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อ ถือ
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร ์ คือ การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูล ในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐา นและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอ นทั้งสองจะกระทำควบคู่กันไป เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐาน ต้องพิจารณาจากเนื้อหา หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้อ งอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภ ายนอกประกอบด้วยการวิพากษ์ห ลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอก
การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที ่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด แต่เป็นเพียงการประเมินตัวห ลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐา น ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสก ัดหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ออกไปการวิพากษ์ข้อมูลหรือว ิพากษ์ภายใน
การวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความห มายที่แสดงออกในหลักฐาน เพื่อประเมินว่าน่าเชื่อถือ เพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจนความหมายที่แท้จริง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อกา รประเมินหลักฐานที่เป็นลายล ักษณ์อักษร เพราะข้อมูลในเอกสารมีทั้งท ี่คลาดเคลื่อน และมีอคติของผู้บันทึกแฝงอย ู่ หากนักประวัติศาสตร์ละเลยกา รวิพากษ์ข้อมูลผลที่ออกมาอา จจะผิดพลาดจากความเป็นจริง
ขั้นตอนที่ 4 การตีความหลักฐาน
การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว ่าผู้สร้างหลักฐานมีเจตนาที ่แท้จริงอย่างไร โดยดูจากลีลาการเขียนของผู้ บันทึกและรูปร่างลักษณะโดยท ั่วไปของประดิษฐกรรมต่างๆ เพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จ ริงซึ่งอาจแอบแฟงโดยเจตนาหร ือไม่ก็ตาม
ในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยา ยามจับความหมายจากสำนวนโวหา ร ทัศนคติ ความเชื่อ ฯลฯ ของผู้เขียนและสังคมในยุคสม ัยนั้นประกอบด้วย เพื่อทีจะได้ทราบว่าถ้อยควา มนั้นนอกจากจะหมายความตามตั วอักษรแล้ว ยังมีความหมายที่แท้จริงอะไ รแฝงอยู่
ขั้นตอนที่ 5 การสังเคราะห์ข้อมูล
ขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทา งประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องเ รียบเรียงเรื่อง หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที ่เป็นการตอบหรืออธิบายความอ ยากรู้ ข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึก ษาค้นคว้านั้น
ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ ่านการตีความมาวิเคราะห์ หรือแยกแยะเพื่อจัดแยกประเภ ทของเรื่อง โดยเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ ด้วยกัน รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่ งกันและกัน จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมดม าสังเคราะห์หรือรวมเข้าด้วย กัน คือ เป็นการจำลองภาพบุคคลหรือเห ตุการณ์ในอดีตขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์แล ะความต่อเนื่อง โดยอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผล ทั้งนี้ผู้ศึกษาอาจนำเสนอเป ็นเหตุการณ์พื้นฐาน หรือเป็นเหตุการณ์เชิงวิเคร าะห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของก ารศึกษา
สรุปวิธีการทางประวัติศาสตร ์
วิธีการทางประวัติศาสตร์กับ การศึกษาเหตุการณ์ทางประวัต ิศาสตร์
ขั้นตอนของวิธีการทางปประวั ติศาสตร์
1. การกำหนดประเด็นปัญหา
เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา เรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู ่การค้นคว้าและสืบค้นข้อมูล ต่างๆ
2. การรวบรวมหลักฐาน
เป็นการสืบค้นข้อมูลจากแหล่ งต่างๆ ที่มีอยู่อย่างหลากหลายและแ ตกต่างกัน เพื่อให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกั บเรื่องราวที่ต้องการศึกษาค ้นคว้า
3. การวิเคราะห์ การตีความและการประเมินหลัก ฐาน
เป็นการตรวจสอบหลักฐาน โดยเน้นวิเคราะห์และตีความเ พื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่น่ าเชื่อถือและได้รับการยอมรั บมากที่สุด
4. การสรุปและเชื่อมโยงข้อเท็จ จริง
เป็นการประมวลข้อมูลจากหลัก ฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้ว นและได้ข้อเท็จจริงที่สมบูร ณ์
5. การนำเสนิข้อเท็จจริง
นำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จาก การศึกษามาเรียบเรียงและอธิ บายอย่างสมเหตุสมผล โดยจะต้องบอกที่มาของหลักฐา นหรือแหล่งข้อมูลอย่างถูกต้ องและเปิดเผย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
สมัยรัตนโกสินทร์เป็นสมัยที ่มีเหตุการณ์ต่อเนื่องมาจาก อดีตมาถึงปัจจุบันเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนหน้าน ี้ ย่อมส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุ บัน การศึกษาเหตุการณ์สำคัญ สามารถศึกษาจากหลักฐานที่เป ็นเอกสารต่างๆ จำนวนมากเพื่อให้เข้าใจข้อม ูลได้อย่างถูกต้องชัดเจน
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดป
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่
การรวบรวมข้อมูลนั้น หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือมากกว่าห
ในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่า
การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดี
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร
การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที
การวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความห
ขั้นตอนที่ 4 การตีความหลักฐาน
การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว
ในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยา
ขั้นตอนที่ 5 การสังเคราะห์ข้อมูล
ขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทา
ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ
สรุปวิธีการทางประวัติศาสตร
วิธีการทางประวัติศาสตร์กับ
ขั้นตอนของวิธีการทางปประวั
1. การกำหนดประเด็นปัญหา
เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา
2. การรวบรวมหลักฐาน
เป็นการสืบค้นข้อมูลจากแหล่
3. การวิเคราะห์ การตีความและการประเมินหลัก
เป็นการตรวจสอบหลักฐาน โดยเน้นวิเคราะห์และตีความเ
4. การสรุปและเชื่อมโยงข้อเท็จ
เป็นการประมวลข้อมูลจากหลัก
5. การนำเสนิข้อเท็จจริง
นำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จาก
สมัยรัตนโกสินทร์เป็นสมัยที
โพสต์
หน่วยที่ 1
วิธีการทางประวัติศาสตร์
เฮโรโดตัส Herodotus บิดาแห่งประวัติศาสตร์ ได้นำคำว่า ประวัติศาสตร์ history มาจากคำในภาษากรีกว่า historeo ที่แปลว่า การถักทอ มาเขียนเป็นชื่อเรื่องราวกา รทำสงครามระหว่างเปอร์เซียก ับกรีก โดยใช้หลักฐานต่าง ๆ เป็นข้อมูล ในการเขียนเป็นเรื่องราว ซึ่งคล้ายกับการถักทอผืนผ้า ให้เป็นลวดลายที่ต้องการ เฮโรโดตัส Herodotus จึงเป็น นักประวัติศาสตร์คนแรก ที่นำหลักฐานทางประวัติศาสต ร์ มาศึกษาเพื่อเขียนเป็นเรื่อ งราว อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหตุการณ์ในอดีต อาจมีผู้สงสัยว่ามีทางเป็นไ ปได้หรือไม่และจะศึกษากันอย ่างไร เนื่องจากเหตุการณ์ประวัติศ าสตร์ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว และ บางเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานม าก จนสุดวิสัยที่คนปัจจุบันจะจ ำเรื่องราวหรือศึกษาเหตุการ ณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง นักประวัติศาสตร์ ได้อาศัยร่องรอยในอดีตเป็นข้อมูลในกา รอธิบายเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นในอดีต ร่องรอยที่ว่านี้เรียกว่า หลักฐานประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ มีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการห นึ่ง คือ อดีตที่มีการฟื้นหรือจำลองข ึ้นมาใหม่นั้น มีความถูกต้องสมบูรณ์และเชื ่อถือได้เพียงใด รวมทั้งหลักฐานที่เป็นลายลั กษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษ ณ์อักษร ที่นำมาใช้ เป็นข้อมูลนั้น มีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงใ ด เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศา สตร์มีอยู่มากมายเกินกว่าที ่จะศึกษาหรือจดจำได้หมด แต่หลักฐานที่ใช้เป็นข้อมูล อาจมีเพียงบางส่วน
ดังนั้น วิธีการทางประวัติศาสตร์จึง มีความสำคัญเพื่อใช้เป็นแนว ทางสำหรับผู้ศึกษาประวัติศา สตร์ หรือผู้ที่จะเรียนรู้ประวัต ิศาสตร์จะได้นำไปใช้ด้วยควา มรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ลำเอียง และเกิดความน่าเชื่อถือได้ม ากที่สุด
ในการสืบค้น ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติ ศาสตร์ มีอยู่หลายวิธี เช่น จากหลักฐานทางวัตถุที่ขุดค้ นพบ หลักฐานที่เป็นการบันทึกลาย ลักษณ์อักษร หลักฐานจากคำบอกเล่า ซึ่งการรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ การรวบรวม พิจารณาไตร่ตรอง วิเคราะห์และตีความจากหลักฐ านแล้วนำมาเปรียบเทียบอย่าง เป็นระบบ เพื่ออธิบายเหตุการณ์สำคัญท ี่เกิดขึ้นในอดีต ว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ในอดีตนั้นได้ เกิดและคลี่คลายอย่างไร ซึ่งเป็นความมุ่งหมายที่สำค ัญของการศึกษาประวัติศาสตร์
เฮโรโดตัส Herodotus บิดาแห่งประวัติศาสตร์ ได้นำคำว่า ประวัติศาสตร์ history มาจากคำในภาษากรีกว่า historeo ที่แปลว่า การถักทอ มาเขียนเป็นชื่อเรื่องราวกา
วิธีการทางประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ มีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการห
ดังนั้น วิธีการทางประวัติศาสตร์จึง
ในการสืบค้น ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติ
วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ การรวบรวม พิจารณาไตร่ตรอง วิเคราะห์และตีความจากหลักฐ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)